สเตมเซลล์คืออะไร? ทำอย่างไรหากต้องการเก็บสเตมเซลล์เพื่อลูกน้อย
สเตมเซลล์คืออะไร? คือ เซลล์ต้นกำเนิด เป็นเซลล์ที่ไม่จำเพาะ ซึ่งสามารถเจริญเติบโต เปลี่ยนแปลงเพื่อไปทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งที่เฉพาะเจาะจงได้ พัฒนากลายเป็นเซลล์ของเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ ในร่างกายได้ หน้าที่ของสเต็มเซลล์ คือการทำเซลล์ใหม่เพื่อมาทดแทนแซลล์เก่า สเต็มเซลล์ คือแซลล์ที่มีหน้าที่จัดจำหน่ายแซลล์ใหม่ สเต็มเซลล์สามารถแบ่งตัวให้เป็นทั้งตัวเองและเป็นแซลล์ชนิดอื่นได้
Blog นี้แม่แอร์จะเอาความรู้ของสเตมเซลล์และข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับครอบครัวไหนที่กำลังเลือกที่จะจัดเก็บสเตมเซลล์ให้กับลูกน้อยมาให้อ่านกันนะคะ เป็นการแชร์ประสบการณ์นะคะ เชื่อว่าทุกครอบครัวต้องเลือกสิ่งดีๆ ให้กับลูกน้อย ส่วนในเรื่องของบริษัทที่จะจัดเก็บสเตมเซลล์ให้กับลูกน้อยอันนี้ก็แล้วแต่การตัดสินใจของแต่ละครอบครัวค่ะ หวังว่าข้อมูลคงจะมีประโยชน์สำหรับบ้านไหนที่กำลังจะมีลูกน้อยและคนที่กำลังจะเป็นคุณพ่อคุณแม่นะคะ
ทำไมต้องเก็บสเตมเซลล์? ประโยชน์? คุ้มไหม?
ส่วนตัวที่เลือกเก็บสเตมเซลล์แรกคลอด เพราะว่าเลือกที่วางแผนและป้องกันอนาคตของลูก เพื่อประโยชน์ต่างๆ ในอนาคต ช่วยให้ลูกรอดจากโรคร้ายในอนาคต ปัจจุบันอย่างที่ทราบสเตมเซลล์สามารถช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับเลือดได้มากกว่า 70 ชนิด (แนะนำให้อ่านเอกสารของบริษัทสเต็มเซลล์ มีรายชื่อโรคค่ะ) โรคหลักๆ เลย คือโรคที่เกี่ยวข้องกับเลือด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โลหิตจางธาลัสซีเมีย ฯลฯ ซึ่งจากวันนี้อีก 50-60 ปี ข้างหน้า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น สเตมเซลล์อาจจะทำอะไรได้มากกว่าตอนนี้ก็เป็นไปได้เมื่อการแพทย์พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
คุ้มไหม? มันก็เปรียบได้คล้ายๆ กับการทำประกันชีวิตหรือว่าทำประกันสุขภาพ แต่อย่าถามว่าคุ้มไหมจะดีกว่าค่ะ ที่ทำก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะใช้ เพราะถ้าคุ้มคือว่าได้ใช้ Stem Cell นั่นแสดงว่าลูกเราต้องป่วยหนัก ตอนนั้นมันก็คงคุ้มถ้าได้ใช้กับโรคที่ต้องใช้ Stem Cell รักษาให้หายได้ แต่ถ้าถามว่าคุ้มไหมกับเงินที่ต้องเสียไป ถ้าหารออกมาเป็นจำนวนปีที่เก็บ 20 ปี คิดที่ราคาค่าเก็บ 85,000 บาท ก็ตกปีละ 4,000 กว่าบาท 12 เดือน ก็ตกเดือนละ 300 กว่าบาท สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่แค่นี้ก็คุ้มสำหรับลูกค่ะ บางบ้านอาจจะไม่คุ้มก็ได้เพราะราคาค่าเก็บ Stem Cell ค่อยข้างสูงและโอกาสใช้คือน้อยมาก ลองพิจารณาดูค่ะ
สิ่งที่ควรทราบก่อนตัดสินใจ
เลือดในสายสะดือและรกที่เก็บจากแม่ มีอยู่จำนวนจำกัดนะคะ เพียงแค่ 50-200 ซีซี ไม่สามารถเก็บได้มากกว่านี้ หากใช้เวลาเก็บผ่านไปแล้วนานเกิน 20 ปี จำนวนเซลล์บางส่วนอาจจะลดลง เสื่อมสภาพหรือทำหน้าที่ได้ลดลงตามระยะเวลาค่ะ เวลาที่จะนำมาใช้ ก็ใช้ได้เฉพาะกับผู้ที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 30-40 kg. เท่านั้นเอง คือพูดได้ว่าใช้ได้เฉพาะในเด็กเท่านั้น หากผู้ใหญ่จะนำมาใช้ Stem Cell ที่เก็บอาจมีจำนวนไม่พอ ยกเว้นว่าในอนาคตเมื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น เราสามารถนำสเต็มเซลล์ที่มีอยู่มาทำให้จำนวนเพิ่มขึ้นได้หรืออาจจะมีวิธีอื่นๆ ที่สามารถให้การรักษาผู้ป่วยในจำนวนของสเต็มเซลล์ที่มี อนาคตไม่แน่ก็ได้เมื่อการแพทย์พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ อะไรก็เป็นไปได้ค่ะ
การนำมาใช้
การที่จะนำสเต็มเซลล์ของอีกคนไปใช้กับอีกคนก็จะต้องมีเนื้อเยื่อตรงกันด้วยนะคะ เช่น กรณีลูกคนที่ 2 ป่วย ก็สามารถนำสเต็มเซลล์ของพี่มาใช้ได้หรือมีญาติพี่น้องคนอื่น ๆ ที่ต้องการใช้ โอกาสที่เนื้อเยื่อจะตรงกันก็มีประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ หากเก็บแล้วเนื้อเยื่อตรงกันก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ค่ะ
ถ้าผ่านจากการเก็บไปแล้ว 20 ปี ถ้าเราไม่ใช้และไม่คิดที่จะเก็บต่อเราก็สามารถบริจาคให้กับสภากาชาดไทยนำไปใช้ได้ประโยชน์ได้ค่ะ
วิธีการเก็บเลือดจากสายสะดือ
คุณหมอสูติจะเป็นคนทำค่ะ ทำเวลาที่คุณแม่คลอดลูก ตอนที่คลอดจะมีสายสะดือติดกับรกซึ่งรกยังติดกับแม่อยู่นะคะ คุณหมอจะตัดสายสะดือและนำเด็กออกไปเข้าห้องอบ ระหว่างนั้นสายสะดือที่เหลืออยู่กับรกคุณแม่ คุณหมอก็จะดูดเลือดจากตรงส่วนที่เหลือนี้ไปโดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเด็กค่ะ ปลอดภัยไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งคุณแม่และคุณลูกค่ะ และหลังจากเก็บแล้วก็นำส่งไปที่ห้องแล็บเพื่อแช่แข็งในลิควิคไนโตรเจน เก็บกันไป 20 ปีเลย
การตัดสินใจเลือกใช้บริการ เก็บกับบริษัทไหนดี?
เลือกบริษัทจัดเก็บที่ไหนดี ตอนนี้บริษัทที่ให้บริการในการจัดเก็บสเต็มเซลล์ในประเทศไทยหลักๆ ที่แม่แอร์เห็นมีอยู่ประมาณ 7 บริษัท หรืออาจจะมีมากกว่าคะ ตรงนี้จะบอกว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องดูข้อมูลบริษัทให้ละเอียดนะคะ ดูอะไรบ้าง?
- ความน่าเชื่อถือของบริษัท (นึกถึงอีก 20 ปีข้างหน้า บริษัทไม่ปิดตัวเองหนีไป)
- ระยะเวลาของการก่อตั้งบริษัท
- สถานที่จัดเก็บ สเต็มเซลล์ ตั้งอยู่ที่ไหน ที่อยู่ ตลอดจนระบบการจัดเก็บที่ต้องได้มาตรฐาน การรักษาความปลอดภัย
- ราคา (แนะนำว่าให้เปรียบเทียบหลายๆบริษัทค่ะกับผลประโยชน์ที่เพิ่มมาที่เราจะได้ค่ะ) ราคาที่จ่ายไปเมื่อเทียบกับจำนวนปีที่จัดเก็บ (ประมาณ 20ปี) ถ้าคิดเป็นรายปีก็ไม่สูงค่ะ แต่จะหนักตรงที่จ่ายทั้งหมดหรือจ่ายที่ครั้งแรกค่ะ ราคาอาจจะค่อนข้างสูง แต่เดี๋ยวนี้มีบริษัท Stem Cell บางบริษัทค่อนข้าง Flexible ในการจ่ายเงินแล้วค่ะ จะเป็นแบบผ่อนก็มี จะจ่ายรายปีก็มีค่ะ ต้องลองหาข้อมูลเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับกันกับบริษัทอื่นๆ ดูค่ะ
- การให้บริการ ดูว่า เซลล์พยายามตอบคำถามที่เราสงสัยได้ดีไหม (แต่บอกเลยค่ะเซลล์ทำงานดี บางเจ้าออกแนวจิกไปหน่อย บางบ้านอาจจะไม่ชอบ)
- วิธีการในการเบิกใช้ ดูว่ายากง่าย รวดเร็วได้แค่ไหน
หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้วว่าจะจัดเก็บกับบริษัทไหน ทำสัญญา จ่ายเงินเรียบร้อย สิ่งที่ได้มาคือ“ชุดเก็บเลือดจากสายสะดือ” ที่จะต้องส่งให้คุณหมอทำคลอดในวันคลอด Core Blood Kit ห้ามลืมนะคะ
แม่แอร์ลูกคนแรกเก็บสเต็มเซลล์กับ THAI StemLife ค่ะ ส่วนตอนนี้ลูกคนที่ 2 จะคลอดเดือน มีนาคม 2015 นี้แล้ว เลือกเก็บสเต็มเซลล์กับอีกบริษัท คือ Cellsafe (Thailand) ค่ะ ถามว่าทำไมไม่เก็บบริษัทเดียวกัน ตอบเลยว่าคือการกระจายความเสี่ยงค่ะ
Comments are closed.