การจะหาใครสักคนมาทำหน้าที่ดูแลลูกเรา จะทำได้ดีกว่าตัวเราเองเหรอ? คิดๆ แล้วมันช่างเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย และแถมยังตัดสินใจยากอีกด้วยสิสำหรับคุณแม่ๆ ที่กำลังคิดว่าจะจ้างพี่เลี้ยงแบบประจำ (คืออยู่กินด้วยกัน) จะจ้างดีหรือไม่? จะบอกให้ฟังว่ามันมีปัจจัยหลายอย่างที่แตกต่างกันไปในแต่ละครอบครัวนะคะ ลองมาเรียบเรียงความจำเป็นดังต่อไปนี้กัน เพื่อการตัดสินใจที่ง่ายขึ้น
อะไรบ้างที่คุณแม่ควรคำนึงถึง อ่านดูกันค่ะ
- ในครอบครัวของคุณมีคนช่วยเลี้ยงรึเปล่า ตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่าครอบครัวของคุณแยกออกมาอยู่ หรือว่าอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ที่ยังมีคุณปู่ คุณย่า คุณป้า น้า อา ที่ยังพอจะช่วยผลัดกันเลี้ยงดูได้
- การเงินพร้อมแค่ไหน แน่นอนว่าการคำนวณค่าใช้จ่ายที่จะต้องเพิ่มมาให้คนอีกคนนึง นอกจากเงินเดือนประจำ ยังมีค่าใช้จ่ายจุกจิก พวกอาหารการกินในบ้านเอง หรือเวลาพาพี่เลี้ยงออกนอกบ้านไปช่วยดูน้องเองก็ล้วนแล้วแต่มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น
- ลักษณะการทำงานหรือการแบ่งเวลาของเราเอง มีปัจจัยหลายกรณี เช่น คุณแม่ทำงานประจำ หรือคุณแม่ที่เลี้ยงลูกเต็มเวลาเองและทำธุรกิจของตัวเองด้วย หรือคุณแม่ที่กำลังจะมีลูกคนที่สอง ฯลฯ ทั้งนี้ตัวคุณเองจะรู้ดีที่สุด ว่าเราสามารถแบ่งงาน แบ่งเวลาที่มีอยู่ได้เป็นสัดส่วนมากแค่ไหน
- ลิสต์รายการหน้าที่ของพี่เลี้ยง แล้วสำรวจดูว่าเป็นไปได้แค่ไหน ที่เราจะต้องทำเองทั้งหมด และกำหนดให้ชัดก่อนเริ่มงานว่าเขาจะต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง
- ความเป็นส่วนตัวของครอบครัว ลองคิดว่าเรากำลังจะมีคนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ในครอบครัว ความส่วนตัวอาจจะลดลงไปแน่นอน
- ความไว้วางใจ ถ้าคุณเป็นคนขี้ระแวงตลอดเวลา คงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนแปลกหน้ามาดูแลลูก หรือคุณก็จะไม่สามารถปล่อยให้พี่เลี้ยงทำหน้าที่ของเขาได้เลย เพราะคุณจะคอยจ้องตลอดเวลา ดั้งนั้นอยู่ที่ตัวคุณแม่เองด้วย ที่จะต้องตอบตัวเองว่า พอจะปล่อยวางให้คนอื่นช่วยจัดการเรื่องของลูกแทนคุณได้หรือไม่
- ที่มาของพี่เลี้ยง ดีที่สุดคือมาจากการแนะนำของคนรู้จัก เดี๋ยวนี้เองก็มีพี่เลี้ยงหลายชาติ และมีบริษัทที่เปิดเป็นศูนย์พี่เลี้ยงเด็กโดยคิดค่าบริการจากค่านายหน้า ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนไทย คนลาว และคนพม่าเป็นหลัก แต่สำคัญที่สุดคือต้องดูที่ความน่าเชื่อถือของศูนย์ สมัยนี้ศูนย์ หลอกฟันหัวค่าหัวก็มาก บางศูนย์ดูน่าเชื่อถือพอถึงเวลาส่งพนักงานมา ทำงานไม่กี่วันเด็กก็ลาออก ฟันค่าหัวกันไป หาเด็กใหม่มาแทนก็ต้องจ่ายค่าหัวอีก จากประสบการณ์บอกเลยศูนย์ถึงจะดีแต่สุดท้ายก็ไม่ดีเท่าเราหาเอง ก่อนจะจ้างต้องดูรวมถึงเอกสารการยืนยันการทำงานของการเป็นแรงงานต่างชาติ ก็ควรมีพาสปอร์ต และใบอนุญาตทำงาน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นความเสี่ยงของเราเองหากทำไม่ถูกต้อง
- ลักษณะนิสัย ทัศนคติ และประสบการณ์ของพี่เลี้ยง คงเป็นเรื่องที่ตอบได้หลังจากการสัมภาษณ์ คุณแม่อาจจะตั้งคำถามโดยละเอียด ให้เห็นว่าเค้ามีความรักและเข้าใจเด็กอย่างไร โดยให้ยกตัวอย่างกรณีที่เกิดขึ้น และถามวิธีจัดการเมื่อเค้าเจอปัญหานั้นๆ หรือให้อธิบายการทำงานที่ผ่านมาโดยละเอียด
- ความเห็นของครอบครัว และข้อตกลงในการให้เกียรติพี่เลี้ยง เรียกได้ว่าสำคัญที่สุดคือการตกลงกันระหว่างคุณพ่อนั่นเอง เพราะการตัดสินใจจะต้องผ่านการตกลงกันทั้งทางด้านการเงินที่ลงตัว การปฏิบัติ รวมทั้งความเห็นของญาติหากเราอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ และตกลงกันว่าจะปฏิบัติต่อพี่เลี้ยงอย่างไรอย่างมีความเท่าเทียมในฐานะเพื่อนมนุษย์ ซึ่งสามารถสอนให้ลูกเข้าใจมารยาทในการปฏิบัติตนและอยู่ร่วมกันคนอื่นด้วย
- ความพร้อมของลูกเรา เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ในช่วง 3-6 เดือนแรก ลูกควรจะได้รับความใกล้ชิดจากคุณแม่มากที่สุด รวมทั้งได้ดื่มนมแม่อย่างเต็มที่ ดังนั้นหากจะมีพี่เลี้ยง คุณแม่ก็อาจจะมอบหมายงานทั่วไปบางอย่างที่ช่วยลดความเหนื่อยของเรา แต่ ณ เวลาที่ลูกต้องการที่สุด คุณอาจจะต้องเตรียมให้เวลากับเขาอย่างเต็มที่ด้วยนะคะ และเมื่อตัดสินใจรับพี่เลี้ยงมาดูแลแล้ว ก็ยังต้องสังเกตุการณ์ต่อว่าลูกเรามีปฏิกิริยาที่ตอบสนองและเข้ากันได้ดีหรือไม่
หากจะถามคุณแม่ แทบจะทุกรายคงอยากเป็นแม่เต็มเวลา ไม่ต้องทำงาน อยู่บ้านดูแลลูกด้วยตนเอง (ไม่นับที่อยากจะแว๊บไปหน้าปากซอย หรือห้างอย่างคนอื่นเขาบ้าง หรือแอบคิดถึงชุดทำงาน และเพื่อนๆ นะคะ) แต่ด้วยภาระ จึงทำให้หลายคนยังต้องทำงานอยู่ การมีพี่เลี้ยงก็เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งค่ะ ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกคน ไม่ว่าจะเลือกทางไหนนะคะ ยังไงลูกก็จะรับรู้ได้เสมอว่าเรารักเขา และทำเพื่อเขาค่ะ