ถึงเวลาไปเที่ยวเมืองสุดโรแมนติกที่สาวๆ หลายคนใฝ่ฝัน “ปารีส” หรือ “Paris” ปารีสเป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนแม่น้ำแซน บริเวณตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส ทริปนี้เดินทางจากเมืองไทยออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ บินตรงจากกรุงเทพ ถึง ปารีสใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง ด้วยตัวเครื่องบิน Booeing 777-300ER โดยสายการบิน Air France ค่ะ
นอกจาก Internet Checkin แล้ว ยังมี App Air France on mobile บนมือถือในระบบ ios และ android เพื่อติดต่อและทำธุรกรรมตั๋ว ผ่านมือถือง่ายๆ สะดวกและยังรวดเร็วอีกด้วยค่ะ ถ้าเรามีไฟล์บินกับสายการบิน Air France แนะนำว่าให้ Download App ไว้ด้วยค่ะ เป็นประโยชน์มากเลย
เมื่อถึงสนามบินก็เอาเป๋าเดินทางมา Drop ที่ Counter Checkin ค่ะ พนักงานที่ Counter เป็นกันเองน่ารักมากค่ะ
เดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ BKK Suvarnabhumi เวลา 9:50 Am. เช้าวันที่ 20 พฤษภาคม จะถึงสนามบินที่ปารีสเรียกว่า สนามบิน “ปารีส ชาร์ล เดอ โกล” (Paris Charles de Gaulle: CDG) เวลาประมาณ 16:45 Pm. ของบ่ายวันที่ 20 พฤษภาคม ของปารีสค่ะ ที่ฝรั่งเศสเวลาจะช้ากว่าบ้านเราประมาณ 6 ชม. ค่ะ นอกจากนี้ใครที่ต้องการเข้าไปใช้บริการ Air France Lounge ก็สามารถซื้อบัตรเข้าไปใช้บริการที่ Air France Lounge ได้ด้วย ในราคาพิเศษเพียง 1,000 บาท (ถ้าใครที่ถือบัตร Flying Blue สามารถใช้แต้มแลกได้ค่ะ) ในช่วงระหว่างรอเครื่อง มีบริการอาหารมากมายให้เลือก เครื่องดื่ม หนังสือพิมพ์ อินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง wifi internet ออนไลน์ได้สะดวกมากๆ ตัวห้องก็ตกแต่งสวยงามและกว้างขวาง แถมมีเก้าอี้นวดไฟฟ้า และห้องอาบน้ำสำหรับใครที่ต้องการความสดชื่นก่อนขึ้นเครื่องอีกด้วยค่ะ
การเดินทางขาออกจาก สนามบินสุวรรณภูมิสู่ปารีสครั้งนี้ ได้เดินทางกับสายการบิน Air France โดยนั่งชั้น Premium Economy ซึ่งจะบอกว่าโดยส่วนตัวนั้นชอบมากดีกว่าชั้น Economy ธรรมดาเยอะเลยค่ะ สามารถเข้าไปใช้บริการที่ Air France Lounge ได้ด้วย ตอน Boarding ก็ได้ขึ้นเครื่องก่อนหรือแล้วแต่ตามสะดวกอีกค่ะ เพราะเค้าจะแยก Boarding lines เอาไว้ให้ค่ะ เก้าอี้นั่งนั้นสะดวกสบายมากค่ะ กว้างขึ้นจากชั้น Economy ถึง 40% ยืดขาสบายเลยค่ะ แถมในชั้น Premium Economy ยังแยก Cabin ออกจากชั้น Economy อีกด้วย รู้สึกสงบคนไม่พลุกพล่านมากค่ะ เพราะชั้น Premium Economy เค้ามีที่นั่งจำนวนจำกัดไว้ไม่เยอะเท่าชั้น Economy อีกอย่างห้องน้ำก็ไม่ต้องต่อคิวยาวค่ะ
ที่นั่งดูเรียบหรูทันสมัยมากเลยค่ะ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกพร้อมมาก นั่งสบายสุดๆ
ชั้น Premium Economy ภายใน Cabin จะอยู่ระหว่าง ชั้น Business Class กับ ชั้น Economy ค่ะ จะเห็นว่าระหว่าง Cabin จะมีม่านกั้นไว้ค่ะ
ในชั้น Premium Economy ตรงเก้าอี้นั่ง จะมี Amenity on board หรือ สิ่งของ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ทางสายการบินจัดไว้บริการค่ะ สิ่งที่แตกต่างระหว่างชั้น Premium Economy กับชั้น Economy ก็คือ Amenity ที่ได้ค่ะ Premium Economy จะมี Ear Plugs ปลั๊กอุดหูลดเสียง ถุงเท้า และแปรงสีฟันค่ะ
พอเครื่องขึ้นสักพักประมาณ 2 ชม. พนักงานแอร์โฮสเตส ก็เริ่มเสริฟอาหารค่ะ มื้อนี้รสชาติอาหารถูกใจค่ะ อร่อยเริศ!!
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสักพักหนึ่ง พนักงานแอร์โฮสเตสก็นำกล่องซึ่งข้างในบรรจุขนมมาเสริฟค่ะ ตรงสายคาดฝาเปิด เขียนเป็นภาษาอังกฤษไว้ว่า “Take Me Home” เป็นขนมยี่ห้อ “FAUCHON” ซึ่งถ้าใครได้ไปฝรั่งเศส ปารีส มาก่อนจะทราบว่าร้านนี้เป็นแบรนด์ขนมชื่อดังของปารีสค่ะ ตอนนี้เท่าที่ทราบมีสาขามาเปิดที่เมืองไทยแล้วด้วยนะคะ ที่ Central World
ระหว่างไฟล์ไม่เบื่อแน่ๆ ค่ะ เราสามารถนั่งดูทีวีไปได้เรื่อยๆ ค่ะ มีหนังให้ดูมากมาย เพลง เลือกได้ตามชอบเลยค่ะ นอกจากทีวีแล้วยังมี Infight Magazine ให้อ่านกันด้วยค่ะ
นี้เป็นอาหารอีกมื้อก่อนที่ถึงจุดหมายปลายทางค่ะ สรุปว่าอาหารบนเครื่องทริปนี้เป็นที่น่าพอใจมากเลยเลยค่ะ รสชาติยกมือให้ ส่วนตัวคือมันดี อร่อยเริศ!!!
ก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทางใกล้จะถึงเวลาลงจากเครื่องบินก็มีพนักงานแอร์โฮสเตส เดินมาสอบถามว่าไฟล์บินยู Happy ไหมด้วยค่ะ และกล่าวคำลา
ในที่สุดก็ถึงที่หมายปลายทางแล้วค่ะ “Paris” สนามบิน ปารีส ชาร์ล เดอ โกล (Paris Charles de Gaulle หรือ CDG)
จากสนามบินก็เดินทางไปยังโรงแรมเลยค่ะ เดินทางด้วย Taxi ค่ะ เนื่องจากสภาพอากาศพอมาถึงปุ๊ปฝนตกหนักเลยค่ะ และบวกกับกระเป๋าเดินทางค่อนข้างใหญ่ทริปนี้อยู่ที่ฝรั่งเศสเป็นเวลารวม 11 วันด้วยกันค่ะ และเท่าที่ทราบ รถไฟใต้ดิน Metro และ RER ส่วนใหญ่ของปารีส ไม่ค่อยจะมีลิฟท์หรือบันไดเลื่อนค่ะ เอากระเป๋าใบใหญ่มาเลยค่อนข้างจะลำบากและนั่งเครื่องบินมาหลายชม.ก็เพลียๆ เลยใช้บริการ Taxi ค่ะ จากสนามบินไปถึงโรงแรมระยะทางประมาณ 30 กิโล (คือระหว่างทางนั่งดู Google Map ไปด้วยแอบกลัว Taxi จะพาวน) ราคาค่า Taxi อยู่ที่ 60 ยูโร ค่ะ รถติดบวกกับฝนตกเลยมิเตอร์ขึ้นใหญ่เลย แงๆ
ถึงโรงแรมแล้วค่ะ โรงแรมที่จองเรียกว่าเป็นโรงแรมกึ่งๆ Service Apartment เค้าเรียกว่า Apart’ Hotel ค่ะ ชื่อว่า “Citadines Apart’ Hotel” อยู่ในกลุ่มของเครือ Ascott (แอสคอตต์) เค้าจะบริการที่พักอาศัยแบบอพาร์ทเมนท์ พร้อมการบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันค่ะ อยู่ห่างจากย่านช้อปปิ้งและแหล่งบันเทิงต่างๆ ไม่ไกลมากนักใกล้สถานีรถไฟใต้ดินหรือเมโทรด้วย ที่สำคัญระยะบริเวณรอบๆโรงแรมที่พักมีร้านอาหารและซุปเปอร์มาเก็ต หลายร้านเลยค่ะ ห้องที่พักถือว่าโอเคเลยค่ะไม่เล็กจนเกินไป มีทีวี ตู้เย็น ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำเล็กๆ และอีกเหตุผลที่เลือกโรงแรมนี้คือ เค้ามีอุปกรณ์ทำครัวให้ด้วยค่ะ มีครบเลย เราสามารถทำอาหารทานเองได้เหมือนอยู่บ้านค่ะ ประหยัดและคุ้มค่ะ แอร์ทำอาหารเช้าทานเองค่ะ ทางโรงแรมจะเก็บตังค่าอาหารเช้าเพิ่มคนละ 15 ยูโร ต่อท่านต่อวันถ้าลงไปทานตอนเช้า เลยคิดว่าไม่เป็นไรอาหารเช้าทำเองดีกว่า 2 คน ถ้าทานก็เท่ากับ 30 ยูโร อีกอย่างอยู่โรงแรมนี้ถึง 4 วันด้วยกันก็กลายเป็น 120 ยูโร ก็เลยไปหาซื้อของมาทำจากซุปเปอร์มาเก็ตค่ะ เปลี่ยนบรรยากาศค่ะ ทำตัวเหมือนบ้าน ทำตัวเหมือนอยู่ที่ปารีสมานานฮาๆ ซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตที่ชื่อ Monopix ค่ะ ขอตัดตอนมาพูดถึงอาหารก่อนเลยนะคะ
- ไข่ไก่ 4 ฟอง 1.79 ยูโร
- ข้าวผัดกล่อง(ใหญ่นะ) 2 ยูโร (เค้าจะมีผัดไว้ใน Supermarket ค่ะ เราซื้อมาแช่ตู้เย็นหิวก็เวฟได้)
- ไส้กรอกแพคละ 6 ชิ้น 2.6 ยูโร x 2 แพค = 5.2 ยูโร
- เบคอนแพคละ 6 ชิ้น 2.6 ยูโร x 2 แพค = 5.2 ยูโร
แค่นี้เองค่ะ 4 วันในปารีส อาหารเช้าของแอร์ เพียง 15 ยูโรเอง เท่ากับ 1 วันของที่นี่ ประหยัดและคุ้มค่าค่ะ
Breakfast in Bed มื้อแรกที่ปารีส โดย Chef แอร์ ค่ะ
เริ่มวันแรกที่ปารีส ตื่นเช้าออกจากโรงแรมมาเดินเล่นแถวแม่น้ำแซน “Seine” เดินเก็บภาพบรรยากาศมาเรื่อยๆ ค่ะ ฟ้าไม่ค่อยสวยเลย ฝนตกปรอยตลอดเวลาค่ะ
จุดแรกที่เลือกมาคือ Cathédrale Notre-Dame de Paris หรือ มหาวิหารน็อทร์ดามแห่งปารีส มหาวิหารโรมันคาทอลิกแห่งนี้ เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค-ฝรั่งเศส เป็นสถานที่ๆสวยงามและมีชื่อที่นักท่องเที่ยวที่มาปารีสต้องมา ไม่ว่าจะเป็นด้านนอกก็สวยงามตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่นํ้าแซน รึจะเป็นข้างในก็สวยไม่แพ้กันค่ะ มีกระจกสีแต่ถ้าจะเข้าไปชมด้านในต้องเข้าแถวเพื่อรอเข้าชมเพราะมีนักท่องเที่ยวเยอะมากนะคะถ้าหากไม่เดินทางมาช่วงเช้า แอร์ออกมาค่อนข้างเช้าค่ะ คนไม่เยอะ สบายเลยค่ะ
โบสถ์ Notre-Dame เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่สวยงามของยุคกลาง (Middle age) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1160 โดย บิชอปมอริส เดอ ซูว์ยี (Maurice de Sully)
เมื่อเดินเข้าไปในโบสถ์ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศเงียบสงบที่มาพร้อมกับความงดงาม ความยิ่งใหญ่ มันสะกดให้รู้สึกถึงความขลัง และมันยังสร้างความรู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยค่ะ สัมผัสได้เลย
“Rose Window” หน้าต่างประดับกระจกสี (stained glass) กระจกซึ่งทำขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เป็นรูปพระแม่มารี ห้อมล้อมด้วยรูปปั้นจากดิโอลด์เทสทาเมนต์
คนยุคโบราณนี่เก่งมากเลยค่ะ ที่สามารถสร้างโบสถ์ที่มีความสูงมากได้ขนาดนี้สุดยอด โบสถ์ Notre-Dame นั้นเค้าให้เข้าฟรีนะคะ เปิดตั้งแต่เช้าถึงเย็นทุกวัน คิวเข้าโบสถ์จะยาวถ้าไม่มาตอนเช้าอย่างที่บอก ข้างในถ่ายรูปได้ค่ะ
ภาพนี้ถ่ายด้านหลังของโบสถ์ Notre Dame เป็นสวนค่ะให้นั่งเล่นได้ค่ะ สวนแลดูสงบมากค่ะ ต้นไม้ได้รับการดูแลอย่างดี ทุกต้นตัดเท่ากันหมดเลยเขียวขจีแปลกตา
แล้วก็เดินมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำ “Seine” ตรงนี้ คือสะพานที่มีชื่อว่า “Pont des Arts” (ปงต์ เด ซาร์ตส์)
“สะพานคู่รัก” ที่คู่หนุ่มสาวนิยมนำกุญแจสลักชื่อของตัวมาแขวนไว้กับราวสะพาน เชื่อกันว่าเมื่อคู่รักคู่ใดได้มาอฐิษฐานความรัก พร้อมกับคล้องกุญแจไว้ที่สะพานแห่งความรักนี้แล้ว ความรักของทั้งสองจะอยู่ยั้งยืนชนิดที่ว่าไม่มีอะไรที่จะพรากได้ และโยนลูกกุญแจลงแม่น้ำ เป็นการแสดงคำมั่นสัญญาในความรักต่อกัน
บนสะพาน “Pont des Arts” (ปงต์ เด ซาร์ตส์) ถือเป็นจุดชมทิวทัศน์แม่น้ำแซนได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งค่ะ
ราวสะพาน “Pont des Arts” (ปงต์ เด ซาร์ตส์) ละลานตาไปด้วยแม่กุญแจหลายหลากขนาดและหลากสีสัน
บนสะพาน “Pont des Arts” (ปงต์ เด ซาร์ตส์) วิวดีมากเลยค่ะ ติดนิดเดียววันนี้ฟ้าไม่ค่อยเป็นใจ ระหว่างทางมาเนี่ยตั้งแต่เช้าออกจากโรงแรมฝนก็ตกปรอยๆ ตลอดเวลา ฟ้าไม่สวยเลยเป็นที่น่าเสียดายสำหรับคนที่รักการถ่ายภาพอย่างเราๆ แต่ยังไงก็ขอเก็บภาพเอาไว้สักหน่อยค่ะ
จากสะพานก็เดินมาเรื่อยๆค่ะ จนมาถึงพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของปารีสและเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ชื่ออย่างเป็นทางการของที่นี่คือ “Musée du Louvre” แต่คนที่นี่เรียกกันว่า “ลูฟวร์” หรือ ลูฟร์ (The Louvre Museum) ข้างในพิพิธภัณฑ์ เราสามารถชมภาพวาด ประติมากรรม ศิลปะตกแต่ง โบราณวัตถุของตะวันออก โบราณวัตถุของอียิปต์ ศิลปะอิสลาม ภาพพิมพ์และภาพวาด ตลอดจนโบราณวัตถุของกรีก อีทรัสคันและโรมันค่ะ วัตถุในคอลเล็กชันนั่นมีตั้งแต่อายุเก่าแก่มากถึง 5,000 ปีก่อนคริสตกาลมาจนถึงศตวรรษที่ 19 ค่ะ ศิลปวัตถุที่ได้รับความนิยมอย่างมากได้แก่ประติมากรรมหินอ่อน เทพีแห่งชัยชนะ, วีนัสเดอมิโล และโมนาลิซา
ไปถึงตอนที่พิพิธภัณฑ์เพิ่งเปิดค่ะ มีคนมาเข้าคิวคอยอย่างล้นหลาม แถวของคนที่มาเข้าคิวตั้งแต่เช้าจะเคลื่อนที่เข้าไปเรื่อยๆ ถ้าเรามาก่อนก็ต้องยืนรออยู่ดี หากไม่อยากเสียเวลาต่อคิวซื้อตั๋ว ซึ่งคิวยาวมาก ทางพิพิธภัณฑ์เค้าก็แนะนำให้ซื้อตั๋วล่วงหน้า จากเว็บไซต์ แต่ราคาจะสูงกว่าซื้อจากลูฟร์นิดหน่อย และต้องไปรับตั๋วตามจุดที่ทางเว็บไซต์กำหนด ไม่สามารถไปรับที่พิพิธภัณฑ์ได้นะคะ
สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดการจองหรือซื้อตั๋วต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์ ได้ที่ www.louvre.fr/en
สำหรับแอร์ทริปนี้ไม่ได้เข้า พิพิธภัณฑ์ค่ะ คือแถวยาวมากๆ บวกกับว่าเราไม่ได้ซื้อตั๋วล่วงหน้ามา แถมฝนตกหนักเลยไม่สามารถรอคิวอันแสนยาวท่ามกลางสายฝนได้ค่ะ เลยขอบายนะคะ ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้าเก็บไว้จะต้องมาอีกรอบแล้วเจอกันนะ “Musée du Louvre”
คือแบบว่าอากาศไม่เป็นใจในการถ่ายรูปเลย งั้นขอหลบฝนนั่งรถไฟ RER มา Shopping ที่ Outlet ชื่อดังสินค้าแบรนด์ของปารีสก็ละกันนะคะ Outlet เค้าชื่อว่า “La Valée Village” ที่นี่ลดกันทั้งปีค่ะ เดินทางไป Oulet ของปารีส โดยนั่งรถไฟ RER A จาก Châtelet-Les Halle ทางเดียวกันกับการไป Disney land ค่ะ แต่ถึงก่อน 1 ป้าย ลงสถานีที่ชื่อว่า Val d’Europe ไม่ขอบอกนะว่า Shopping อะไรไปบ้างแต่จะบอกว่าเยอะมากค่ะ
ถ้าได้มาถึง La Valée Village Outlet แล้วเดิน Shopping กันเหนื่อยๆ หิวๆ แวะมาลอง ไอศครีมชื่อ “Amorino” เป็นไอศครีมสไตล์อิตาเลียน (gelato) อร่อยมากค่ะ ร้านนี้เค้าออกตัวเลยว่าของเค้าธรรมชาติสุดๆ ไม่มีสารปรุงแต่งสีหรือรสชาติใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งวัตถุดิบที่ใช้เลยค่ะ จุดเด่นคือพนักงานจะทำไอศครีมเป็นรูปดอกไม้ให้ค่ะ น่ารักมาก ถ้าใครได้ดูรายการสามแซ่บของทางช่อง 3 ช่วงที่คุณชมพู่มารีวิวตอนที่เธอไปเมืองคานส์ 2014 ปีนี้ จะบอกว่าเป็นร้านเดียวกันกับที่ ไอศรีมคุณชมพู่ อารยา ทานค่ะ “Amorino” ร้านนี้แหละค่ะ แค่เพียงคนละสาขากัน
เริ่มเช้าวันใหม่อีกวันหนึ่งของปารีส วันนี้ตื่นแต่เช้าออกเดินทางไปยัง “Château de Versailles” (ชาโต้ว์ เดอ แวร์ซายส์) หรือที่เราเรียก “พระราชวังแวร์ซายส์” ค่ะ เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก แถมองค์การยูเนสโกยังประกาศให้เป็นมรดกโลกมาถึง 30 ปีแล้วด้วย แนะนำให้มาแต่เช้านะคะ เพราะสถานที่ใหญ่มาก ต้องใช้เวลาในการเดินทางพอสมควรนั่งรถไฟจากในเมืองออกมาค่ะ แนะนำให้ซื้อออนไลน์ล่วงหน้าสำหรับคนที่วางแผนวันที่จะมาไว้แน่นอนแล้ว ประหยัดเวลาไม่ต้องเข้าคิวซื้อที่ห้องขายตั๋ว จะบอกว่าคิวยาวมากๆๆๆ นะคะ
“พระราชวังแวร์ซายส์” สร้างขึ้นโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1661 (พ.ศ. 2204) รูปแบบของศิลปะและสถาปัตยกรรมเป็นแบบ บาโรคและรอคโคโค
เมื่อเข้าสู่ภายในของ “พระราชวังแวร์ซายส์” นี้เป็นห้องแรกที่ได้ชมค่ะ สวยงามค่ะ ภายในพระราชวังแวร์ซายส์ ห้องโดยส่วนใหญ่สามารถถ่ายรูปได้
ภาพนี้คือถ่ายจากโมเดลจำลองของพระราชวังแวร์ซายส์พื้นที่โดยทั้งหมดค่ะ เห็นแล้วกว้างใหญ่ใช่ไหมค่ะ คือเราต้องใช้เวลาพอสำควรที่จะเดินชมให้หมดทั้งพระราชวัง
บนเพดานของแต่ละห้องจะวิจิตรตระการตาด้วยภาพวาดเรื่องราวต่างๆ ห้องนี้เป็นเรื่องราวของเทพเจ้าค่ะ
ห้องนี้คือ”ห้องบรรทม” ความหรูหราของเครื่องตกแต่งห้องแต่ละห้องน่าจะได้รับการเพิ่มเติมตกแต่งหรือดัดแปลงไปตามความโปรดปรานของเจ้านายแต่ละพระองค์ค่ะ
ภาพวาดสีน้ำมันแสดงให้เห็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสหลายยุคหลายสมัย
ฝาผนังประดับลวดลายได้วิจิตรบรรจงมากค่ะ จะเห็นว่ามีศิลปวัตถุที่ล้ำค่าอยู่ภายใน เช่น ภาพวาดสีน้ำมันประดับด้วยกรอบสีทอง
“The Hall of Mirrors” หรือห้องกระจกในพระราชวังแวร์ซายส์ในปัจจุบันห้องนี้จะเป็นไฮไลต์ เป็นจุดสำคัญของพระราชวังแวร์ซายส์ค่ะ คนตรึม!
Sefie สักรูปค่ะ
ห้องนี้เป็นห้องที่ทำให้ท้องเราอิ่มค่ะ อิอิ เมื่อเดินชมภายในพระราชวังแวร์ซายส์แล้ว มันค่อนข้างใช้เวลามากพอสมควรเวลาตอนในรูปนี้ประมาณจะเที่ยงวันแล้วค่ะ มาแต่เช้าเลยก็เริ่มจะหิวแล้ว ภายในพระราชวังแวร์ซายส์ก็จะมีจุดขายอาหารสำเร็จรูปง่ายๆ ให้เราซื้อรับประทานค่ะ
อาหารที่มีให้ก็จะเป็นอาหารง่ายๆ ค่ะ พวกแซนวิช สลัด ขนมปังและเบอร์เกอรี่ค่ะ เลือกเสร็จแล้วเราก็ไปชำระเงิน
เดินชมภายในพระราชวังแวร์ซายส์หมดแล้วค่ะ ออกมาข้างนอกฝนก็ตกปรอยๆ ตกตลอดจริงๆ ฟ้าช่างใจร้ายนะ จะบอกว่าปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแก่ผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมความสวยงาม พระราชวังแห่งนี้มีอายุยืนนานถึง 300 ปีเศษแล้วนะคะแต่ยังคงความงามอยู่จนถึงทุกวันนี้
หลังจากเดินชมภายในพระราชวังแวร์ซายส์เสร็จแล้วเราก็มาชมสวนกันค่ะ เค้าจะมีรถให้นั่งชมด้วยเช่นกันนะคะหรือเราจะเดินชมสวนเองก็ได้เช่นกันค่ะ
สวนของพระราชวังแวร์ซายส์สวยมากค่ะและโอ่อ่าอลังการตามแบบฉบับฝรั่งเศสในยุคนั้น
สวนนี้ถูกออกแบบมาให้สามารถมองเห็นภาพรวมทั้งหมดได้จากจุดเดียว คือห้อง บรรทมพระเจ้าหลุยส์
สวนสวย เขียวขจีมากค่ะ
ขาออกจากพระราชวังแวร์ซายส์จะเดินทางกลับแล้ว ออกมาเวลาประมาณเที่ยงกว่าๆ ได้แล้วค่ะ ออกมาตกใจเลยเห็นแถวต่อคิวยาวมากๆ ใครจะมาชมที่พระราชวังแวร์ซายส์แนะนำให้มาแต่เช้าเลยนะคะไม่งั้นรอคิวแบบนี้แน่ๆ
ในที่สุดฟ้าก็เป็นใจให้แล้ว วันนี้แหละเหมาะสำหรับการเก็บภาพ หากใครได้มาเยือนประเทศฝรั่งเศส แต่ไม่มีรูปถ่ายแอ็คท่ากับหอไอเฟล กลับไปอวดเพื่อนฝูงญาติพี่น้องก็เหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงฝรั่งเศสนะคะ หอไอเฟลเป็นหอคอยสร้างด้วยโครงเหล็ก สูงถึง 300 เมตร ตั้งอยู่บนถนน ชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส
หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างสูงที่สุดในกรุงปารีส ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะประมาณ 75 ชั้น
“ลา ตูค์ อิฟเฟล” (La Tour Eiffel) ในภาษาฝรั่งเศส หรือ หอไอเฟล
แอร์มาถึงแล้วค่ะ “หอไอเฟล” สัญลักษณ์แห่งเมืองปารีส มุมนี้ถ่ายด้วยเลนส์ Nikon 12-24mm เก็บภาพได้ทั้งหมดในช็อตเดียว แม้จะถ่ายย้อนแสงแต่ก็สามารถเก็บรายละเอียดได้เป็นอย่างดีได้ทั้งหน้าคน ตัวหอไอเฟล และท้องฟ้า เป็นเลนส์ที่ชอบมาก
Arc de triomphe de l’Étoile หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ประตูชัยฝรั่งเศส (The Arc de Triomphe) เป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญในกรุงปารีส อยู่แถวๆ ชองป์-เซลิเซ่ส์ วันที่ไปนี้เค้าซ่อมประตูชัยอยู่ข้างบนค่ะ เสียดายมากถ่ายภาพออกมาเนี่ยติดนั่งร้านที่ซ่อมมาเต็มๆ ค่ะ
ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศสค่ะ ตามกำแพงเสาประตูจะมีชื่อสลักของเหล่าทหารอยู่ด้วยค่ะ
หลังจากประตูชัยก็เดินต่อมาที่ ชองป์-เซลิเซ่ส์ ซึ่งได้รับขนานนามว่าเป็นถนนที่สวยที่สุดในโลก มีร้านค้าแบรนด์เนม โรงละคร โชว์รูมรถยนต์ และร้านอาหารมากมายให้เดินชมอย่างเพลิดเพลิน
PIERRE HERME ร้านอยู่ในย่าน ชองป์-เซลิเซ่ส์ ค่ะ เป็น “ราชาแห่งมาการอง” มาพร้อมกับสมญานามว่า “ปิกัสโซ่แห่งขนมหวาน” ใครยังไม่ลองต้องลองดูนะคะ เป็น มาการองระดับตำนานอีกยี่ห้อที่แซงหน้า “Laduree” ถ้าใครยังไม่เคยลองแนะนำให้ลองนะคะ
ร้านในรูปนี้คือร้านมาการอง ยี่ห้อ ลาดูเร่ “LADUREE” ค่ะ เดินมาเรื่อยๆ ร้านจะอยู่ในย่านชองป์-เซลิเซ่ส์เหมือนกันค่ะ เป็นมาการองระดับตำนานเช่นกัน เค้าการันตีความอร่อยจากระยะ
ซื้อมาการองติดไม้ติดมือมาซักหน่อยค่ะ
ถ้าเดินไปเรื่อยๆ ตามย่านชองป์-เซลิเซ่ส์จะพบร้านค้า ร้านขนมและร้านอาหารมากมายค่ะ ร้านนี้เก๋ดีชอบดีไซส์ที่เค้าตกแต่งร้านโดยใช้หม้อและอุปกรณ์เครื่องครัวค่ะ
ทริปในปารีสครั้งนี้เดินทางเยอะมากค่ะ ส่วนใหญ่จะใช้บริการรถไฟใต้ดินไปไหนมาไหนสะดวกสบายดีค่ะ ไม่ต้องพึ่งรถแท็กซี่ (รถTaxiในปารีสราคาค่อนข้างสูงนะคะบอกไว้ก่อน คนที่เป็นคนขับTaxiที่นั่นรายได้ต้องดีแน่ๆค่ะ) กรุงปารีสเป็นเมืองที่มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่หนาแน่นที่สุดในโลก ยังไงซะการวางแผนเดินทางที่ดีทำให้เราสามารถประหยัดทั้งเวลาและเงินในกระเป๋า ดังนั้นก่อนเดินทางควรวางแผนเดินทางก่อนนะคะว่าเราจะไปที่ไหนบ้างในปารีส ถ้าหากเที่ยวปารีสหลายๆ วันแนะนำให้ซื้อเป็นแบบ Day Pass ไปเลยค่ะ เค้ามีให้เลือกอยู่หลายแบบค่ะ
หลังจากที่เดินทางตลอด 3 วันในกรุงปารีส ทริปสุดท้ายก่อนออกเดินทางไปอีกเมือง แอร์มาที่นี่ค่ะ โรงละครมูแลงรูจ (Moulin Rouge) ย่านมองมาร์ต ในกรุงปารีส หลายๆ คนคงคุ้นกับชื่อกันกันบ้างแล้วทำให้นึกถึง นิโคล คิดแมน กับ ยวน แมคเกรเกอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง “Moulin Rouge” มูแลงรูจมีจุดเด่นที่อาคารโรงละครเป็นรูปกังหันลมค่ะ มูแลงรูจคือเสน่ห์ของมนต์มายาแห่งราตรีในย่านนี้ ที่นี่จะมีโชว์ที่มีชื่อเสียงมากค่ะ คือนักท่องเที่ยวที่มาที่ย่านนี้จะต้องเข้าไปดู คือระบำ CanCan และมีโชว์ต่างๆ อีกมากมายค่ะ นักแสดงหญิงส่วนใหญ่จะเปลือยอก จากภาพจะเห็นว่ามีผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาชมการแสดงต่อคิวกันยาว เพื่อแสวงหาบรรยากาศแห่งความรื่นเริงค่ะ แนะนำว่าใครที่จะมาชมการแสดงโชว์ของที่นี่ให้ซื้อตั๋วล่วงหน้า Online นะคะ
จบ 4 วัน 3 คืน ในปารีสแล้วค่ะทริปนี้น้ำหนักลดแน่ๆ อยู่กทม.ไม่ค่อยได้เดิน ตอนหน้าแอร์จะเดินทางไปนอกเมืองค่ะ ไปหลายเมืองเลย ขอบอกติดตามรีวิวกันได้ค่ะ